โปเกมอน เรดและบลู

From Wikipedia, the free encyclopedia
โปเกมอนภาคเรด
โปเกมอนภาคบลู
ไฟล์:Pokémon box art - Red Version.jpg
ภาพหน้ากล่องเกมโปเกมอนภาคเรด แสดงภาพโปเกมอน ลิซาร์ดอน ภาพหน้ากล่อง โปเกมอนภาคบลูแสดงโปเกมอน คาเม็กซ์
ผู้พัฒนา เกมฟรีก
ผู้จัดจำหน่าย นินเท็นโด
กำกับ ซะโตะชิ ทะจิริ
อำนวยการผลิต ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ
ทะคะชิ คะวะงุชิ
สึเนะคะสุ อิชิฮะระ
ศิลปิน เค็น ซุงิโมะริ
เขียนบท ซะโตะชิ ทะจิริ
เรียวสุเกะ ทะนิงุชิ
ฟุมิฮิโระ โนะโนะมุระ
ฮิโระยุกิ จินไน
แต่งเพลง จุนิชิ มะสุดะ
ซีรีส์ โปเกมอน
เครื่องเล่น เกมบอย
วางจำหน่าย เรด
  1. เปลี่ยนทาง แม่แบบ:Video game release
  2. เปลี่ยนทาง แม่แบบ:Video game releaseกรีน
  3. เปลี่ยนทาง แม่แบบ:Video game releaseบลู
  4. เปลี่ยนทาง แม่แบบ:Video game release
  5. เปลี่ยนทาง แม่แบบ:Video game release
  6. เปลี่ยนทาง แม่แบบ:Video game release
แนว วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท
รูปแบบ ผู้เล่นคนเดียว, ผู้เล่นหลายคน

โปเกมอนภาคเรด และ โปเกมอนภาคบลู (English: Pokémon Red Version and Pokémon Blue Version) เดิมจำหน่ายในญี่ปุ่นในชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์: เรดและกรีน[a] เป็นวิดีโอเกมเล่นตามบทบาทพัฒนาโดยบริษัทเกมฟรีกและจำหน่ายโดยนินเท็นโดสำหรับเครื่องเล่นเกมบอย เกมโปเกมอนภาคนี้เป็นเกมแรกของวิดีโอเกมชุดโปเกมอน ออกจำหน่ายครั้งแรกใน ค.ศ. 1996 ในชื่อภาคเรดและกรีน สำหรับภาคบลู (Blue (ポケットモンスター青 Poketto Monsutā Ao?)) ออกจำหน่ายภายหลังในปีเดียวกันเป็นรุ่นพิเศษ ต่อมาเกมจำหน่ายชื่อภาคเรดและบลูในอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลียภายในเวลา 3 ปี โปเกมอนภาคเยลโลว์ ภาคพิเศษ ออกจำหน่ายราว ๆ ปีต่อมา ภาคเรดและกรีนถูกนำมาทำใหม่สำหรับเครื่องเล่นเกมบอยอัดวานซ์ในชื่อโปเกมอนภาคไฟร์เรดและลีฟกรีน จำหน่ายใน ค.ศ. 2004

ผู้เล่นได้ควบคุมตัวละครหลักจากมุมมองด้านบนและพาเขาท่องภูมิภาคคันโตในภารกิจเพื่อเป็นสุดยอดนักต่อสู้โปเกมอน เป้าหมายของเกมคือการเป็นแชมเปียนของโปเกมอนลีกโดยเอาชนะหัวหน้ายิม 8 คน และโปเกมอนเทรนเนอร์ยอดเยี่ยม 4 คนในภูมิภาค หรือเรียกว่าจตุรเทพทั้งสี่ (Elite Four) อีกเป้าหมายหนึ่งของเกมคือเติมเต็มสมุดภาพโปเกมอนหรือโปเกเดกซ์ (Pokédex) สารานุกรมภายในเกมให้สมบูรณ์ โดยครอบครองโปเกมอนให้ครบ 150 ตัว ทีมร็อกเก็ตเป็นกองกำลังปฏิปักษ์ เช่นเดียวกับคู่แข่งวัยเด็กของตัวละครผู้เล่นด้วย ภาคเรดและบลูมีอุปกรณ์เสริมคือสายเกมลิงก์เคเบิล สำหรับเชื่อมต่อเครื่องเล่นสองเครื่องและสามารถแลกเปลี่ยนโปเกมอนหรือต่อสู้ระหว่างกันได้ เกมทั้งสองภาคเป็นอิสระจากกันแต่มีเนื้อเรื่องเหมือนกัน[1] และขณะที่ผู้เล่นสามารถเล่นแยกกันได้ ผู้เล่นจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันเพื่อครอบครองให้ได้ครบ 150 ตัว โปเกมอนตัวที่ 151 (มิว) จะได้มาผ่านความผิดพลาดหรือกลิตช์ (glitch) ในเกมหรือการจำหน่ายอย่างเป็นทางการจากนินเท็นโด

ภาคเรดและบลูได้รับการตอบรับที่ดี นักวิจารณ์ยกย่องทางเลือกในการเล่นหลายคน โดยเฉพาะแนวคิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอน เกมได้คะแนน 89% จากเว็บไซต์เกมแรงกิงส์ และติดอันดับหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปีในรายชื่อเกม 100 เกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของไอจีเอ็น การจำหน่ายเกมนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แฟรนไชส์ทำยอดขายได้หลายพันล้านดอลลาร์ ขายรวมกันได้หลายล้านหน่วยทั่วโลก ใน ค.ศ. 2009 เกมเคยถูกบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ หัวข้อ "เกม RPG สำหรับเกมบอยที่ขายดีที่สุด" และ "เกม RPG ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล" เกมออกจำหน่ายบนระบบคอนโซลเสมือนของเครื่องนินเท็นโด 3ดีเอส ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เพื่อเป็นที่ระลึก เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีของแฟรนไชส์

ระบบเกม[edit]

[[ไฟล์:Bulbasaur pokemon red.png|thumb|left|ฟุชิงิดาเนะ เลเวล 5 ของผู้เล่น (ล่าง) ต่อสู้กับฮิโตะคาเงะ เลเวล 5 ของคู่แข่ง (บน)]] ภาคเรดและบลู แสดงภาพในมุมมองบุคคลที่สาม เหนือศีรษะ และประกอบด้วยหน้าจอพื้นฐานสามหน้าจอ ได้แก่ โลกของเกม (overworld) ที่ผู้เล่นใช้นำทางตัวละครหลัก[2] ฉากต่อสู้แบบมองข้าง[3] และหน้าจอเมนู ซึ่งผู้เล่นใช้ปรับแต่งค่าให้โปเกมอน ไอเทม หรือการตั้งค่าของระบบเกม[4]

ผู้เล่นสามารถใช้โปเกมอนต่อสู้กับโปเกมอนของคนอื่น เมื่อผู้เล่นเผชิญหน้ากับโปเกมอนป่าหรือได้รับคำท้าจากเทรนเนอร์ หน้าจอจะสลับไปเป็นฉากต่อสู้แบบผลัดกันโจมตี (turn-based) ที่แสดงโปเกมอนที่ใช้ต่อสู้ ระหว่างต่อสู้ ผู้เล่นอาจเลือกท่าโจมตีให้โปเกมอนหนึ่งในสี่ท่า ใช้ไอเทม สลับเปลี่ยนโปเกมอนเป็นตัวอื่น หรือพยายามหนี โปเกมอนมีค่าฮิตพอยต์ (HP) เมื่อค่าฮิตพอยต์ของโปเกมอนลดลงเหลือศูนย์ มันจะหมดสติและไม่สามารถต่อสู้ได้จนกว่ามันจะฟื้น เมื่อโปเกมอนของศัตรูหมดสติ โปเกมอนของผู้เล่นที่ได้เข้าฉากต่อสู้จะได้รับค่าประสบการณ์ (EXP) หลังสะสมค่าประสบการณ์ได้มากพอ โปเกมอนจะขึ้นเลเวลใหม่[3] เลเวลของโปเกมอนจะควบคุมคุณสมบัติทางกายภาพของโปเกมอน เช่น ค่าสถิติในการต่อสู้ และท่าโจมตี หากถึงเลเวลที่กำหนด โปเกมอนอาจพัฒนาร่าง วิวัฒนาการของโปเกมอนนี้จะกระทบค่าสถิติและเลเวลที่โปเกมอนจะเรียนรู้ท่าใหม่ (เลเวลสูงจะได้รับค่าสถิติต่อเลเวลเพิ่มมากขึ้น แต่พวกมันอาจไม่ได้เรียนท่าใหม่ได้เร็ว หากเทียบกับเลเวลต่ำ ๆ)[5]

การจับโปเกมอนการจับโปเกมอนเป็นอีกสิ่งสำคัญในการเล่นเกม ระหว่างต่อสู้กับโปเกมอนป่า ผู้เล่นอาจโยนโปเกบอล (Poké Ball) ที่โปเกมอน ถ้าจับโปเกมอนสำเร็จ โปเกมอนจะกลายเป็นของผู้เล่น ปัจจัยความสำเร็จในการจับสำเร็จ ได้แก่ ค่าฮิตพอยต์ของโปเกมอนเป้าหมาย และชนิดของโปเกบอลที่ใช้ ยิ่งโปเกมอนเป้าหมายมีฮิตพอยต์น้อยลงและโปเกบอลที่แข็งแกร่ง ยิ่งมีอัตราสำเร็จสูง[6] เป้าหมายสูงสุดของเกมคือการเติมเต็มโปเกเดกซ์ (Pokédex) สารานุกรมโปเกมอนแบบเบ็ดเสร็จ โดยการจับ พัฒนาร่าง และแลกเปลี่ยนโปเกมอนครบ 151 สายพันธุ์[7]

โปเกมอนเรดและบลูให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนระหว่างตลับรอมสองตลับได้ผ่านสายเชื่อมเกมลิงก์เคเบิล[8] การแลกเปลี่ยนด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องทำเพื่อให้โปเกเดกซ์สมบูรณ์ เนื่องจากโปเกมอนบางตัวจะพัฒนาร่างต่อเมื่อถูกแลกเปลี่ยน และเกมแต่ละภาคจะมีโปเกมอนที่ไม่พบในอีกภาคหนึ่ง[1] สายลิงก์เคเบิลทำให้ผู้เล่นสามารถต่อสู้กับโปเกมอนของผู้เล่นอีกคนได้ด้วย[8] เมื่อเล่นภาคเรดและบลูบนเกมบอยอัดวานซ์ หรือเอสพี เกมไม่รองรับสายเชื่อมมาตรฐาน GBA/SP ผู้เล่นต้องใช้สายเชื่อมนินเท็นโดยูนิเวอร์ซัลเกมลิงก์เคเบิลแทน[9] ยิ่งกว่านั้น เกมภาคภาษาอังกฤษจะเข้ากันไม่ได้กับภาคภาษาญี่ปุ่น และการแลกเปลี่ยนระหว่างกันจะทำให้ไฟล์เซฟเกมมีปัญหา เนื่องจากเกมทั้งสองภาษาใช้ภาษาต่างกันและชุดอักขระคนละชุดกัน[10]

โปเกมอน เรดและบลู สามารถแลกเปลี่ยนกับโปเกมอนภาคเดียวกัน ภาคเยลโลว์ และสามารถแลกเปลี่ยนกับเกมโปเกมอนเจเนอเรชันที่สอง โปเกมอน โกลด์ ซิลเวอร์ และคริสตัลได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัด เช่น เกมจะไม่สามารถเชื่อมกันได้หากผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมีโปเกมอนหรือท่าโจมตีที่เริ่มมีในเจเนอเรชันที่สอง[11] ในโปเกมอนสเตเดียม และโปเกมอนสเตเดียม 2 ของเครื่องนินเท็นโด 64 สามารถใช้ข้อมูล เช่น โปเกมอนและไอเทมจากโปเกมอนภาคเรดและบลูได้ผ่านอุปกรณ์ทรานสเฟอร์แพ็ก (Transfer Pak)[12][13] เรดและบลูเข้ากันไม่ได้กับเกมโปเกมอนตั้งแต่ "อัดวานซ์เจเนอเรชัน" ของเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ หรือเกมคิวบ์ เป็นต้นไป[14]

โครงเรื่อง[edit]

[[ไฟล์:Kanto-Full-Map.jpg|thumb|left|โปเกมอน เรดและบลู เกิดขึ้นที่ภูมิภาคคันโต สร้างตามแบบภูมิภาคคันโตจริงของประเทศญี่ปุ่น]]

ฉากท้องเรื่อง[edit]

ฉากท้องเรื่องในเกมโปเกมอน เรดและบลูคือภูมิภาคคันโต เป็นภูมิภาคโดดเด่นกว่าเกมหลายภาคต่อมา เนื่องจากเป็นที่อยู่ของโปเกมอน 151 สายพันธุ์ รวมถึงมีเมืองและนครที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง บางบริเวณจะเข้าได้เฉพาะเมื่อผู้เล่นเรียนรู้ความสามารถพิเศษหรือได้รับไอเทมพิเศษ[15] บริเวณที่ผู้เล่นสามารถจับโปเกมอนได้มีตั้งแต่ถ้ำไปจนถึงทะเล ซึ่งชนิดของโปเกมอนที่จับได้จะแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เมโนคุราเงะ (Tentacool) จะจับได้โดยวิธีการตกปลาหรือเมื่อผู้เล่นอยู่บนผิวน้ำ ขณะที่ซูแบต (Zubat) จะจับได้เฉพาะในถ้ำ

เนื้อเรื่อง[edit]

หลังจากเสี่ยงเดินทางเข้าไปในกอหญ้าสูงคนเดียว มีเสียงเสียงหนึ่งเตือนผู้เล่นให้หยุด ซึ่งเผยว่าเป็นศาสตราจารย์ออคิดส์ หรือโอ๊ก (Professor Oak) นักวิจัยโปเกมอนชื่อดัง ศาสตราจารย์ออคิดส์อธิบายผู้เล่นว่าโปเกมอนป่าอาจอาศัยอยู่ในกอหญ้านั้น และหากเผชิญหน้าโปเกมอนตามลำพังอาจเป็นอันตราย[16] เขาพาผู้เล่นไปที่ห้องปฏิบัติการ และเขาได้พบกับหลานชายของศาสตราจารย์ ซึ่งจะเป็นคู่แข่งของผู้เล่น ผู้เล่นและคู่แข่งจะได้เลือกโปเกมอนเริ่มต้นที่จะเดินทางไปกับเขา ได้แก่ ฟุชิงิดาเนะ เซนิกาเมะ และฮิโตะคาเงะ[17] หลานชายของศาสตราจารย์จะเลือกโปเกมอนที่ได้เปรียบกว่าโปเกมอนของผู้เล่นเสมอ จากนั้นเขาจะท้าสู้กับผู้เล่นหลังได้รับโปเกมอนใหม่ และจะต่อสู้อีก ณ จุดที่กำหนดไว้ตลอดเกม[18]

ขณะเยี่ยมเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค ผู้เล่นจะได้พบกับสถานที่พิเศษเรียกว่า ยิม ภายในอาคารเหล่านั้นจะมีหัวหน้ายิม ซึ่งผู้เล่นจะต้องเอาชนะแต่ละคนเพื่อให้ได้เข็มกลัดครบแปดอัน เมื่อสะสมเข็มกลัดครบแล้ว ผู้เล่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าโปเกมอนลีกที่มีโปเกมอนเทรนเนอร์ที่ดีที่สุดในภูมิภาค ผู้เล่นจะได้ต่อสู้กับสี่จตุรเทพ (Elite Four) และแชมเปียนคนใหม่คือ คู่แข่งของผู้เล่น[19] ตลอดทั้งเกม ผู้เล่นยังได้ต่อสู้กับกองกำลังของแก๊งร็อกเก็ต องค์กรอาชญากรรมที่ใช้โปเกมอนในทางที่ผิด[5] พวกเขาคิดแผนขโมยโปเกมอนหายาก และผู้เล่นจะต้องขัดขวางให้ได้[20][21]

การพัฒนา[edit]

แนวคิดของเกมโปเกมอนเกิดจากงานอดิเรกสะสมแมลง กิจกรรมที่ผู้ออกแบบเกม ซะโตะชิ ทะจิริ เคยชอบสะสมในเวลาว่างเมื่อครั้งเป็นเด็ก[22] เมื่อเติบโตขึ้น เขาสังเกตความเจริญในเมืองที่เขาอาศัยอยู่มากขึ้น และการสะสมแมลงเริ่มลดลง ทะจิริสังเกตว่าเด็ก ๆ มักเล่นในบ้านแทนนอกบ้าน และเกิดความคิดที่จะสร้างวิดีโอเกที่มีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายแมลง เรียกว่า โปเกมอน เขาคิดว่าเด็ก ๆ จะผูกพันกับโปเกมอนได้โดยตั้งชื่อให้มัน และควบคุมมันเพื่อทดแทนความกลัวและความโกรธ เป็นการคลายเครียดในทางที่ดี อย่างไรก็ตามโปเกมอนจะไม่เลือดออกและไม่ตาย เพียงแค่หมดสติเท่านั้น แนวคิดนี้เป็นประเด็นที่ทะจิริจริงจังมาก เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้โลกของเกมมี "ความรุนแรงที่ไร้ประโยชน์"[23]

เมื่อเกมบอยวางจำหน่าย ทะจิริคิดว่าระบบของเครื่องเหมาะสมกับสิ่งที่เขาคิดไว้ โดยเฉพาะลิงก์เคเบิล ซึ่งเขามองไว้ว่าจะให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันได้ แนวคิดการแลกเปลี่ยนสารสนเทศเป็นสิ่งใหม่ในอุตสาหกรรมวิดีโอเกม เพราะก่อนหน้านี้ การเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลมีไว้แข่งขันกันเท่านั้น[24] "ผมจินตนาการถึงชุดสารสนเทศที่ส่งหากันได้ระหว่างเกมบอยสองเครื่องด้วยสายเคเบิลชนิดพิเศษ และผมร้องว้าว มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่" ทะจิริกล่าว[25] ทะจิริยังได้รับแรงบันดาลใจจากเกม เดอะไฟนอลแฟนตาซีเลเจนด์ ของบริษัทสแควร์ โดยเขากล่าวในบทสัมภาษณ์ว่าเกมให้แนวคิดกับเขาว่าไม่ใช่แค่เกมแอ็กชันที่สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อเกมเครื่องมือถือได้[26]

ตัวละครหลักตั้งชื่อตามทะจิริเองว่า ซาโตชิ โดยเขาพรรณาให้เป็นตนเองในวัยรุ่น และตั้งอีกชื่อหนึ่งตามเพื่อนสนิท ต้นแบบ ที่ปรึกษา และนักพัฒนาของนินเท็นโด ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ ให้ชื่อตัวละครนั้นว่า ชิเงรุ[23][27] เค็น ซุงิโมะริ ศิลปินและเพื่อนของทะจิริพัฒนาภาพวาดและแบบของโปเกมอน โดยทำงานกับทีมงานน้อยกว่าสิบคนเพื่อออกแบบโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัว ซุงิโมะริตรวจสอบแบบครั้งสุดท้าย และวาดโปเกมอนออกมาในหลายมุมเพื่อช่วยให้ฝ่ายกราฟิกเรนเดอร์โปเกมอนให้[28][29] ดนตรีในเกมแต่งโดยจุนิชิ มาสุดะ โดยเขาใช้ประโยชน์จากช่องเสียงสี่ช่องของเกมบอยในการสร้างทำนองและเสียงประกอบ และ "เสียงร้อง" ของโปเกมอนที่จะได้ยินเมื่อเผชิญหน้ากับมัน เขากล่าวว่าชื่อฉากเปิดเกมคือ "มอนสเตอร์" ผลิตด้วยภาพฉากต่อสู้ที่มาจากความคิด ใช้สัญญาณรบกวนสีขาวเพื่อให้ฟังคล้ายดนตรีสวนสนามและเลียนแบบเสียงกลองเล็ก[30]

ทีแรกเกมมีชื่อว่า แคปซูลมอนสเตอส์ (Capsule Monsters) และเนื่องจากความลำบากเรื่องเครื่องหมายการค้า เมื่อชื่อเกมผ่านการซื้อขายหลายธุรกรรมมาก ทำให้ชื่อกลายเป็นคาปูมอน (CapuMon และ KapuMon) ก่อนจะได้ชื่อเป็นพ็อกเก็ตมอนสเตอส์ (Pocket Monsters)[31][32] ทะจิริมักคิดเสมอว่านินเท็นโดจะปฏิเสธเกมของเขา เนื่องจากบริษัทยังไม่เข้าใจแนวคิดของเกมอย่างแท้จริงตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เกมกลายเป็นความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ทะจิริและนินเท็นโดไม่เคยคาดคิด เพราะขณะนั้นความนิยมของเกมบอยเริ่มลดลงแล้ว[23] เมื่อได้ยินแนวคิดเกมโปเกมอน มิยะโมะโตะแนะว่าให้ทำให้โปเกมอนแต่ละตลับมีโปเกมอนไม่เหมือนกัน เพื่อที่จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอนได้[33]

ในญี่ปุ่น พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ เรดและกรีน วางจำหน่ายเป็นภาคแรก เกมขายได้รวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากความคิดของนินเท็นโดที่ให้ผลิตออกมาเป็นสองภาคย่อยแทนที่จะทำเป็นภาคเดียว เพื่อให้ผู้ซื้อซื้อทั้งสองภาค หลายเดือนต่อมา ภาคบลูวางจำหน่ายในญี่ปุ่นเป็นรุ่นพิเศษที่ให้สั่งซื้อทางจดหมายเท่านั้น[34] โดยได้เพิ่มเติมงานศิลป์ในเกมและบทพูดใหม่ ๆ[35] ทะจิริเปิดเผยโปเกมอนพิเศษชื่อ มิว ที่ซ่อนไว้ในเกมเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความท้าทายให้กับเกม โดยเขาเชื่อว่า "สร้างข่าวลือและตำนานให้กับเกม" และ "ทำให้ความน่าสนใจในเกมยังคงอยู่"[23] ชิเงะกิ โมะริโมะโตะเพิ่มมิวลงในเกมเพื่อเป็นเรื่องล้อเล่นภายในและไม่ตั้งใจจะเปิดเผยสู่ลูกค้า[36] ต่อมา นินเท็นโดตัดสินใจแจกมิวผ่านกิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมหนึ่งของนินเท็นโด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 มีกลิตช์อันหนึ่งที่คนทั่วไปรู้จัก และใครก็ตามสามารถใช้กลิตช์นี้เพื่อให้ได้มิวมา[37]

ในช่วงปรับวิดีโอเกมให้เข้ากับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ ทีมเล็ก ๆ ทีมหนึ่งนำโดยฮิโระ นะกะมุระ ลงรายละเอียดที่โปเกมอนแต่ละตัว และเปลี่ยนชื่อโปเกมอนให้กับลูกค้าฝั่งตะวันตกตามลักษณะรูปร่างและลักษณะพิเศษหลังจากนินเท็นโดอนุมัติ โดยในระหว่างนั้น นินเท็นโดทำเครื่องหมายการค้าชื่อโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัวเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเอกลักษณ์กับแฟรนไชส์[38] ในระหว่างการแปลชื่อนั้นพบชัดเจนว่า การเปลี่ยนข้อความภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ เกมจะต้องโปรแกรมใหม่ตั้งแต่ต้นเนื่องจากรหัสต้นฉบับมีสถานะที่ไม่เสถียร เป็นผลข้างเคียงจากการพัฒนาที่ยาวนานผิดปกติ[29] ดังนั้น เกมจึงยึดตามภาคบลูภาษาญี่ปุ่นที่เป็นรุ่นใหม่กว่า โดยออกแบบโปรแกรมและงานศิลป์ใหม่ แต่ใช้โปเกมอนชุดเดิมกับตลับเกมภาคเรดและกรีนภาษาญี่ปุ่น ตามลำดับ[34]

ขณะที่ภาคเรดและบลูที่เสร็จสมบูรณ์แล้วกำลังเตรียมตัววางจำหน่าย นินเท็นโดจ่ายเงินมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมเกม เกรงว่าเกมชุดนี้จะไม่ดึงดูดเด็ก ๆ ชาวอเมริกัน[39] ทีมที่ปรับเกมให้เข้ากับชาวตะวันตกเตือนว่า "สัตว์ประหลาดที่น่ารัก" อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าชาวอเมริกัน และแนะนำให้ออกแบบใหม่และ "เสริมความแข็งแกร่ง" ให้โปเกมอนแทน ฮิโระชิ ยะมะอุชิ ประธานบริษัทนินเท็นโดในขณะนั้นปฏิเสธและมองว่าการตอบรับของชาวอเมริกันเป็นสิ่งที่น่าท้าทายที่ต้องเผชิญ[40] แม้จะมีอุปสรรคเช่นนี้ ในที่สุด ภาคเรดและบลูที่ปรับโปรแกรมใหม่โดยการออกแบบโปเกมอนใหม่ได้วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ หลังภาคเรดและกรีนวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาสองปีครึ่ง[41] เกมได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากลูกค้าต่างชาติและโปเกมอนได้กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ทำกำไรได้ดีในอเมริกา[40]

ดนตรี[edit]

ดนตรีแต่งโดยจุนิชิ มะสุดะ[42] ด้วยคอมพิวเตอร์รุ่นคอมโมดอร์ อะมิกา ที่มีเพลย์แบ็กแบบการกล้ำรหัสของพัลส์ และแปลงเข้ากับเกมบอยด้วยโปรแกรมที่เขาเขียนเอง[43]

เพลงของภาคเรดและบลูคือดนตรีในเกมทั้งหมด บทพูดทั้งหมดปรากฏในจอเกม

การตอบรับและสิ่งสืบทอด[edit]

Script error: No such module "Video game reviews".

โปเกมอนเรดและบลูเป็นต้นแบบของเกมที่กลายเป็นแฟรนไชส์ระดับพันล้านดอลลาร์[44] ก่อนปี ค.ศ. 1997 ภาคเรด กรีน และบลู รวมกันขายได้ 10.4 ล้านตลับในประเทศญี่ปุ่น[45] ก่อนเกมจะเลิกจำหน่าย เกมขายได้รวมกัน 9.85 ล้านตลับในสหรัฐอเมริกา[46] ขณะที่ขายได้อีก 3.56 ล้านตลับในสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 2009 ไอจีเอ็นจัดให้โปเกมอนภาคเรดและบลูให้เป็น "เกม RPG บนเกมบอยที่ขายดีที่สุด" และ "เกม RPG ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล"[47]

เกมได้รับคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ในด้านบวก มีคะแนนสะสมจากเกมแรงกิงส์อยู่ที่ 87.86%[48] เกมได้รับคำยกย่องเป็นพิเศษในระบบผู้เล่นหลายคน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนและต่อสู้กับโปเกมอนของคนอื่นได้ เครก แฮร์ริสจากไอจีเอ็นให้คะแนนเกมที่ 10 เต็ม 10 กล่าวว่า "แม้ว่าคุณจะทำภารกิจเสร็จ คุณอาจจะยังมีโปกมอนในเกมไม่ครบทุกตัว ความท้าทายที่ว่าให้จับให้ครบทุกตัวเป็นสิ่งดึงดูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกมอย่างแท้จริง" เขายังให้ความเห็นเกี่ยวกับความนิยมของเกม โดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ ว่าเป็น "เกมที่ชวนให้คลั่ง" (craze)[1] ปีเตอร์ บาร์โทโลว์ จากเกมสปอต ให้คะแนนเกม 8.8 เต็ม 10 ติในเรื่องกราฟิกส์และเสียงว่าธรรมดา แต่เป็นเพียงข้อเสียข้อเดียวในเกม เขาย่กย่องถึงคุณค่าของการกลับมาเล่นซ้ำ เนื่องจากการที่เกมสามารถปรับแต่งได้และเกมมีความหลากหลาย และกล่าวถึงความดึงดูดในระดับสากลว่า "ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่น่ากอด โปเกมอนเป็นเกมสวมบทบาทจริงจังและมีเอกลักษณ์ ที่มีความลึกซึ้ง และเสริมด้วยระบบหลายผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม ในฐานะเกมสวมบทบาท เกมนี้ชวนให้ผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นแนวนี้ สามารถมาเล่นให้สนุกได้ง่าย แต่มันจะสร้างความเพลิดเพลินให้แฟนเกมตัวจริงเช่นกัน พูดง่าย ๆ คือมันเป็นเกมของเกมบอยที่ดีที่สุดจนถึงทุกวันนี้"[5]

ความสำเร็จของเกมมาประสบการณ์แบบใหม่ในการเล่นเกมมากกว่าเอฟเฟกต์ภาพและเสียง เอกสารที่โรงเรียนธุรกิจโคลัมเบียตีพิมพ์ระบุว่าเด็ก ๆ ทั้งชาวอเมริกันและญีปุ่นชอบระบบเกมมากกว่าเอฟเฟต์พิเศษเกี่ยวกับภาพหรือเสียง ในเกมชุดโปเกมอน หากไม่มีเอฟเฟกต์ปลอมเช่นนี้ กล่าวกันว่าจะยกระดับจินตนาการและความสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ได้[45] หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนให้ความเห็นว่า "ด้วยประเด็นเกี่ยวกับเกมเอนจินและการกำหนดตำแหน่งรายละเอียดภาพ มีบางอย่างที่สดชื่นเกี่ยวกับระบบเกมขั้นสุดยอดที่ทำให้คุณเลิกสนใจกราฟิกส์ 8 บิตได้เลย"[49]

เว็บไซต์วิดีโอเกม วันอัปดอตคอม สร้างรายชื่อ "5 เกมยอดเยี่ยมที่'มาทีหลัง'" แสดงชื่อเกมที่ "พิสูจน์ถึงเครื่องเกมที่อาจขายไม่ออก" และเป็นหนึ่งในเกมสุดท้ายที่ออกกับเครื่องเล่นนั้น เมื่อครั้งที่เกมออกจำหน่ายบนเครื่องเกมบอยหลายเกมในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 เรดและบลูอยู่อันดับที่หนึ่ง[25] และถือเป็น "อาวุธลับ" ของนินเท็นโด นินเท็นโดเพาเวอร์จัดอันดับให้ภาคเรดและบลูเป็นวิดีโอเกมที่ดีที่สุดอันดับที่สามของเครื่องเล่นเกมบอยและเกมบอยคัลเลอร์ โดยกล่าวว่าบางอย่างในเกมจะทำให้พวกเขาเล่นอย่างต่อเนื่องจนพวกเขาจับโปเกมอนได้ทุกตัว[50] เบ็น รีฟส์ จากนิตยสารเกมอินฟอร์เมอร์เรียกพวกเขา (รวมถึงโปเกมอน เยลโลว์ โกลด์ ซิลเวอร์ และคริสตัล) ให้เป็นเกมบอยที่ดีที่สุดอันดับสองและกล่าวว่าเกมมีความลึกมากกว่าที่เห็น[51] นิตยสารทางการของนินเท็นโดตั้งให้เกมเป็นหนึ่งในเกมของนินเท็นโดที่ดีที่สุดตลอดกาล อยู่อันดับที่ 52 ในรายชื่อเกม 100 เกมยอดเยี่ยม[52] ภาคเรดและบลูอยู่อันดับที่ 72 ในรายชื่อ 100 เกมยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยไอจีเอ็นเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยนักวิจารณ์มองว่าเกมทั้งคู่ "ริเริ่มการปฏิวัติวิดีโอเกม" และยกย่องการออกแบบเกมที่มีรายละเอียดลึกและกลยุทธ์ที่ซับซ้อน และการแลกเปลี่ยนกันระหว่างเกมด้วย[53] สองปีถัดมา เกมขึ้นไปอยู่อันดับที่ 70 ในรายชื่อที่ปรับปรุงแล้ว เนื่องจากสิ่งสืบทอดในเกมได้บันดาลให้เกิดวิดีโอเกมภาคต่อ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และสินค้าอื่น ๆ มากมาย เป็นการหยั่งรากวัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างแข็งแกร่ง[54] ในปี ค.ศ. 2007 เรดและบลูถูกจัดอยู่อันดับที่ 37 และนักวิจารณ์กล่าวถึงความยืนยาวของเกมว่า

สำหรับทุกเกมที่ออกมาในทศวรรษนี้ ทั้งหมดเริ่มต้นตรงนี้ที่เกมโปเกมอนเรด/บลู การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์อย่างการสำรวจ การฝึกโปเกมอน การต่อสู้ และการแลกเปลี่ยน ทำให้เกิดเป็นเกมที่มีรายละเอียดลึกซึ้งกว่าที่เกมปรากฏให้เห็นครั้งแรก และเป็นเกมที่บังคับให้ผู้เล่นเข้าสังคมกับคนอื่นเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงที่เกมจะนำเสนอได้ เกมมีความยาว ชวนให้จดจ่อ และชวนให้เสพติดแบบที่เกมที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะทำให้เสพติดได้ พูดถึงสิ่งที่จะทำกับเกมออกมาเถอะ แต่มีแฟรนไชส์เกมไม่มากที่สามารถอ้างได้ว่าเกมจะได้รับความนิยมหลังจากเกมออกวางแผงขายเป็นเวลาสิบปีได้[27]

เกมได้รับเครดิตในเรื่องการเริ่มเปิดทางสู่การเป็นเกมชุดที่ประสบความสำเร็จระดับหลายพันล้านดอลลาร์[25] หลังภาคเรดและบลูออกจำหน่ายห้าปี นินเท็นโดเฉลิมฉลอง "โปเกโมนิเวอร์แซรี" (Pokémoniversary) จอร์จ แฮร์ริสัน รองประธานอาวุโสของฝ่ายสื่อสารและการตลาดของนินเท็นโดอเมริกา กล่าวว่า "อัญมณีเลอค่าเหล่านั้น [โปเกมอนเรดและบลู] ได้พัฒนาเป็นภาครูบีและแซฟไฟร์ การออกจำหน่ายเกมโปเกมอนพินบอลเริ่มการเดินทางโปเกมอนครั้งใหม่ที่จะเปิดตัวในไม่กี่เดือนที่จะมาถึง"[55] เกมชุดนี้ขายได้มากกว่า 175 ล้านเกมแล้ว ทั้งหมดเป็นผลมาจากโปเกมอนเรดและบลูประสบความสำเร็จอย่างมาก[25]

ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 โปรแกรมเมอร์นิรนามชาวออสเตรเลียคนหนึ่งเผยแพร่รายการทวิตช์เพลส์โปเกมอน "การทดลองทางสื่อสังคม" บนเว็บไซต์วิดีโอสตรีมมิง ทวิตช์ โครงการนี้เป็นความพยายามแบบคราวด์ซอร์ซิง (crowdsourcing) เล่นโปเกมอนภาคเรดรุ่นปรับปรุงโดยพิมพ์ชุดคำสั่งลงไปในช่องแชต โดยมีผู้ชมจำนวน 50,000 คนในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ "การชมรถชนกันแบบภาพเคลื่อนไหวช้า"[56] เกมเล่นจบในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ด้วยการควบคุมเกมจากผู้ใช้หลายคนแบบต่อเนื่อง ใช้เวลาทั้งหมด 390 ชั่วโมง[57]

รุ่นอื่นๆ[edit]

โปเกมอน บลู (ฉบับญี่ปุ่น)[edit]

โปเกมอน ภาคบลู (Pokémon Blue (ポケットモンスター 青 Poketto Monsutā Ao?, lit. "Pocket Monsters Blue")) มีจำหน่ายในญี่ปุ่นผ่านการสั่งซื้อทางจดหมาย[34] เฉพาะสมาชิกของ โคโระโคโระคอมิก เท่านั้น ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1996 ต่อมาก็ได้วางจำหน่ายตามร้านค้าปลีกทั่วไป ตั้งแต่ วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1999[58] ตัวเกมได้รับการปรับปรุงทั้งงานศิลป์ในเกม และบทสนทนาใหม่[35] โค้ด บทของเกม และงานศิลป์ของภาคนี้เคยใช้เมื่อครั้งจำหน่ายภาคเรดและกรีนนอกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อภาคเป็นเรดและบลู[34] และใช้คาเม็กซ์เป็นตุ๊กตาสัญลักษณ์ เกมภาคบลูภาษาญี่ปุ่นมีโปเกมอนทั้งหมดยกเว้นโปเกมอนที่พบในภาคเรดและกรีนจำนวนหนึ่ง ทำให้โปเกมอนบางตัวพบได้เฉพาะในภาคดั้งเดิมเท่านั้น

โปเกมอนเยลโลว์[edit]

โปเกมอน ภาคเยลโลว์ (Pokémon Yellow: Special Pikachu Edition (ポケットモンスター ピカチュウ Poketto Monsutā Pikachū?, lit. "Pocket Monsters Pikachu")) เป็นภาคปรับปรุงของภาคเรดและบลู ออกจำหน่ายวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1998 ในประเทศญี่ปุ่น[59][60] และจำหน่ายในอเมริกาเหนือและยุโรปในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1999[61] และ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2000[62] ตามลำดับ เกมถูกออกแบบให้คล้ายกับอะนิเมะโปเกมอน โดยผู้เล่นจะได้รับพิกะจูเป็นโปเกมอนเริ่มต้น และคู่แข่งจะเริ่มต้นด้วยอีวุย ตัวละครบางตัวจะคล้ายกับตัวละครในอะนิเมะ เช่น มุซาชิ โคจิโร่ และเนียซ

โปเกมอน ไฟร์เรดและลีฟกรีน[edit]

โปเกมอน ภาคไฟร์เรด และโปเกมอนภาคลีฟกรีน (Pokémon FireRed Version and LeafGreen Version (ポケットモンスター ファイアレッド・リーフグリーン Poketto Monsutā Faiareddo Rīfugurīn?)) เป็นเกมภาคปรับปรุงวิดีโอเกมโปเกมอนภาคเรดและกรีนที่เป็นต้นฉบับ ตัวเกมถูกพัฒนาโดยเกมฟรีกและจัดจำหน่ายโดยนินเท็นโด สำหรับลงเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ และมีอุปกรณ์เสริมคือตัวปรับไร้สายสำหรับเกมบอยอัดวานซ์ ซึ่งเดิมแถมมาพร้อมกับเกม อย่างไรก็ตามเนื่องจากลูกเล่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในไฟร์เรดและลีฟกรีน (เช่นการเปลี่ยนแปลงค่าสถิติท่าพิเศษ (Special) แยกเป็นโจมตีท่าพิเศษ (Special Attack) และป้องกันท่าพิเศษ (Special Defense) ) การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เข้ากับภาคที่เก่ากว่า ไฟร์เรดและลีฟกรีนวางจำหน่ายญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2004[63][64] และออกจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปในวันที่ 9 กันยายน[65] และ 1 ตุลาคม[66] ตามลำดับ หลังวางจำหน่ายได้เกือบสองปี นินเท็นโดนำเกมภาคนี้มาตีตลาดใหม่ในชื่อ เพลเยอส์ชอยส์[67]

เกมได้รับคำสรรเสริญ ได้คะแนนรวมร้อยละ 81 จากเมตาคริติกส์[68] นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกย่องการที่เกมนำเสนอคุณสมบติใหม่ขณะที่ยังรักษาระบบเกมดั้งเดิมไว้อย่างดี การตอบรับในด้านกราฟิกส์และเสียงนั้นมีคละกันกันไป นักวิจารณ์บางคนตำหนิว่าเรียบง่ายเกินไปและไม่ปรับปรุงจากเกมภาคก่อนหน้า โปเกมอน รูบีและแซฟไฟร์ มากนัก ไฟร์เรดและลีฟกรีนประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ขายได้รวมประมาณ 12 ล้านชุดทั่วโลก[69]

คอนโซลเสมือน[edit]

ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 นินเท็นโดประกาศในการนำเสนอนินเท็นโดไดเรกต์ว่าเกมโปเกมอนรุ่นเก่าจะวางจำหน่ายในบริการคอนโซลเสมือนของนินเท็นโด 3ดีเอส ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีที่จำหน่ายเกมในญี่ปุ่น เกมดังกล่าวเป็นเกมแรกในคอนโซลเสมือนที่จำลองการทำงานของสายเกมลิงก์เคเบิลเพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนและต่อสู้ระหว่างเกมได้[70] แต่ละภูมิภาคจะได้รับเกมเฉพาะภาคที่เคยวางจำหน่ายในภูมิภาคนั้นเท่านั้น อย่างเช่น ภาคกรีนจะจำหน่ายเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น[71] รุ่นเหล่านี้สามารถย้ายโปเกมอนไปยังเกมโปเกมอนภาคซันและมูนที่กำลังจะมาถึง ผ่านทางโปรแกรมประยุกต์โปเกมอนแบงก์ได้ด้วย[72]

นอกจากนี้ยังมีของพิเศษพ่วงนินเทนโด 2ดีเอส กับแต่ละคอนโซลที่มีสีเดียวกับสีของแต่ละภาค วางจำหน่ายในญี่ปุ่น ยุโรป และออสเตรเลียในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016[73] และในอเมริกาเหนือมีเครื่องนิวนินเท็นโด 3ดีเอส ตัวเครื่องเป็นลายเดียวกับภาพกล่องเกมภาคเรดและบลู[74]

ก่อนวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยอดขายของเกมภาคที่จำหน่ายใหม่อีกครั้งรวมกันแตะ 1.5 ล้านตลับ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งขายได้ใตลาดอเมริกาเหนือ[75]

ในรูปแบบอื่น[edit]

เชิงอรรถ[edit]

  1. ^ Pocket Monsters: Red & Green (Japanese: ポケットモンスター 赤・緑 Hepburn: Poketto Monsutā Aka Midori?)

อ้างอิง[edit]

  1. ^ a b c Craig Harris: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 23. Juni 1999, abgerufen am 26. Juni 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  2. ^ Game Freak (1997-12-09). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 8.
  3. ^ a b Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 17.
  4. ^ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 10.
  5. ^ a b c Peter Bartholow: [Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle".] GameSpot, 28. Januar 2000, archiviert vom Original am 2010-02-06; abgerufen am 26. Juni 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  6. ^ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 21.
  7. ^ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 7.
  8. ^ a b Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 36.
  9. ^ [Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle".] Nintendo, archiviert vom Original am 2007-12-22; abgerufen am 7. Oktober 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  10. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo of America Inc., abgerufen am 9. Juni 2009: „MissingNO is a programming quirk, and not a real part of the game“Vorlage:Cite web/temporär
  11. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, abgerufen am 27. Juni 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  12. ^ Jeff Gerstmann: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". GameSpot, 29. Februar 2000, abgerufen am 16. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  13. ^ Gerald Villoria: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". GameSpot, 26. März 2001, S. 2, abgerufen am 16. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  14. ^ Craig Harris: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 17. März 2003, abgerufen am 25. Oktober 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  15. ^ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 20.
  16. ^ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 2.
  17. ^ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 3.
  18. ^ IGN Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, S. 113, abgerufen am 24. Oktober 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  19. ^ IGN Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, S. 67, abgerufen am 27. Juni 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  20. ^ IGN Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, S. 99, abgerufen am 4. Februar 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  21. ^ IGN Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, S. 165, abgerufen am 4. Februar 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  22. ^ Plaza, Amadeo (2006-02-06). "A Salute to Japanese Game Designers". Amped IGO. p. 2. Archived from the original on 2007-01-21. Retrieved 2006-06-25.
  23. ^ a b c d Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 2. Archived from the original on 2007-11-12. Retrieved 2008-09-16.
  24. ^ Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 1. Archived from the original on 2007-12-12. Retrieved 2008-09-16.
  25. ^ a b c d 1UP Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". 1UP, abgerufen am 16. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  26. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, abgerufen am 6. Juni 2009 (japanese).
  27. ^ a b Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, abgerufen am 15. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  28. ^ Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". In: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, S. 2, abgerufen am 10. September 2010 (japanese).
  29. ^ a b Kohler, Chris (2004). Power-Up: How Japanese Video Games Gave the World an Extra Life (1st ed.). BradyGames. pp. 237–250. ISBN 0-7440-0424-1.
  30. ^ Masuda, Junichi: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Game Freak, 28. Februar 2009, abgerufen am 9. Juni 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  31. ^ Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". (Originaltitel: ja:写真で綴るレベルX~完全保存版!)Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". AllAbout.co.jp, 18. Februar 2004, abgerufen am 21. Mai 2010 (japanese).
  32. ^ Tomisawa, Akihito (August 2000). ゲームフリーク 遊びの世界標準を塗り替えるクリエイティブ集団 (in Japanese). ISBN 4-8401-0118-3.
  33. ^ Nutt, Christian: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Gamasutra, 3. April 2009, abgerufen am 9. Juni 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  34. ^ a b c d Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly (124): 216.
  35. ^ a b Chen, Charlotte (December 1999). "Pokémon Report". Tips & Tricks. Larry Flynt Publications: 111.
  36. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo.com, abgerufen am 16. Oktober 2012.Vorlage:Cite web/temporär
  37. ^ Jack DeVries: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 24. November 2008, abgerufen am 16. Februar 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  38. ^ Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly (124): 172.
  39. ^ Tobin, Joseph Jay (2004). Pikachu's Global Adventure: The Rise and Fall of Pokémon. Duke University Press. p. 66. ISBN 0-8223-3287-6.
  40. ^ a b Brain Ashcraft: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Kotaku, 18. Mai 2009, abgerufen am 26. Juni 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  41. ^ IGN Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, S. 62, abgerufen am 24. Oktober 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  42. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". VGMdb, abgerufen am 7. Juli 2015.Vorlage:Cite web/temporär
  43. ^ http://www.gameinformer.com/b/features/archive/2014/05/13/pokemon_2700_s-music-master-the-man-behind-the-catchiest-songs.aspx
  44. ^ Lua error in package.lua at line 80: module 'Module:Citation/CS1/Suggestions' not found.
  45. ^ a b Safier, Joshua; Nakaya, Sumie: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Columbia Business School, 7. Februar 2000, abgerufen am 5. August 2011.Vorlage:Cite web/temporär
  46. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Magic Box, 27. Dezember 2007, abgerufen am 3. August 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  47. ^ Jack DeVries: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 16. Januar 2009, abgerufen am 16. Februar 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  48. ^ Cite error: Invalid <ref> tag; no text was provided for refs named Game Rankings; see Help:Cite errors/Cite error references no text ().
  49. ^ Bodle, Andy and Greg Howson: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Guardian, 30. September 1999, abgerufen am 15. Januar 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  50. ^ "Nintendo Power – The 20th Anniversary Issue!" (Magazine). Nintendo Power. 231 (231). San Francisco, California: Future US. August 2008: 72. {{cite journal}}: Cite journal requires |journal= (help)
  51. ^ Ben Reeves: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". In: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". 24. Juni 2011, abgerufen am 6. Dezember 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  52. ^ Tom East: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Official Nintendo Magazine, 2. März 2009, abgerufen am 18. März 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  53. ^ Staff: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 30. April 2003, abgerufen am 15. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  54. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, abgerufen am 15. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  55. ^ Craig Harris: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 29. August 2003, abgerufen am 15. September 2008.Vorlage:Cite web/temporär
  56. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". In: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Abgerufen am 16. Februar 2015.Vorlage:Cite web/temporär
  57. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". In: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". CBS Interactive, abgerufen am 16. Februar 2015.Vorlage:Cite web/temporär
  58. ^ Cite error: Invalid <ref> tag; no text was provided for refs named releasedates; see Help:Cite errors/Cite error references no text ().
  59. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Pokémon Company, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  60. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  61. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Pokémon Company International, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  62. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Pokémon Company International, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  63. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Pokémon Company, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  64. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  65. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Pokémon Company International, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  66. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". The Pokémon Company International, abgerufen am 13. März 2013.Vorlage:Cite web/temporär
  67. ^ Craig Harris: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". IGN, 26. Juli 2006, abgerufen am 5. September 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  68. ^ [Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle".] Metacritic, archiviert vom Original am 2008-06-18; abgerufen am 5. September 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  69. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". (PDF) Nintendo, 25. April 2008, S. 6, abgerufen am 5. September 2009.Vorlage:Cite web/temporär
  70. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, 12. November 2015, abgerufen am 14. November 2015.Vorlage:Cite web/temporär
  71. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, 12. November 2015, abgerufen am 14. November 2015.Vorlage:Cite web/temporär
  72. ^ Jessica Conditt: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". In: Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Abgerufen am 26. Februar 2016.Vorlage:Cite web/temporär
  73. ^ Kamen, Matt (12 January 2016). "Pokémon marks 20th birthday with retro 2DS bundles". Retrieved 3 August 2016.
  74. ^ Farokhmanesh, Megan (12 January 2016). "Pokémon celebrates its 20th anniversary with a New Nintendo 3DS bundle this February". Polygon. Retrieved 3 August 2016.
  75. ^ Script error: No such module "Vorlage:Internetquelle". Nintendo, 28. April 2016, S. 3, abgerufen am 1. Mai 2016.Vorlage:Cite web/temporär

แหล่งข้อมูลอื่น[edit]

หมวดหมู่:เกมสำหรับเกมบอย หมวดหมู่:เกมผลิตโดยเกมฟรีก หมวดหมู่:เกมโปเกมอนเล่นตามบทบาท หมวดหมู่:วิดีโอเกมที่ออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2539 หมวดหมู่:วิดีโอเกมที่พัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น หมวดหมู่:วิดีโอเกมผู้เล่นคนเดียวและหลายผู้เล่น หมวดหมู่:วิดีโอเกมสัตว์เลี้ยงจำลอง